5 เหตุผลดีๆ ที่ทำไมคนเราต้องไปปีนเขา

การเดินขึ้นเขาแต่ละทีมันก็ไม่ใช่จะสบาย เหงื่อไหลไคลย้อย รบกวนเข่า ลำบากเท้าเป็นประจำ จนบางคนก็พูดกับฉันว่า วันๆ ทำงานก็ปวดหัวเหนื่อยสมอง ยังจะไปเดินให้ลำบากกาย เมื่อยตัวตอนกลับมาอีกทำไม

แต่ฉันกลับรู้สึกรักกิจกรรมการเที่ยวแบบนี้มาก อาจเป็นเพราะฉันได้ประโยชน์จากมันและเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างระหว่างทาง และนี่คือ 5 เหตุผลดีๆ ที่ทำไมคนเราต้องไปปีนเขา

1. ออกกำลังกาย

แน่นอนว่าการเดินขึ้นทางลาดชันเป็นพันเมตร มันเรียกเสียงหอบและเขย่าเหงื่อออกจากร่างกายเราได้ดีทีเดียว ถึงแม้ตอนเหนื่อยมากๆ กว่าจะก้าวได้แต่ละที อย่างกับโดนใส่สายรัดถ่วงน้ำหนักที่ข้อเท้าไว้ทั้งสองข้าง หรือจะตอนกระชุ่มกระชวยวิ่งขึ้นเอาๆ ไม่ว่าอย่างไหนก็ได้ออกกำลังกายด้วยกันทั้งนั้น 

แต่การออกกำลังกายด้วยการขึ้นเขา มันไม่น่าเบื่อเหมือนออกอยู่ในฟิตเนส เราได้เห็นสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตลอดทาง เดี๋ยวเจอต้นไม้เล็ก เดี๋ยวเจอต้นไม้ใหญ่ เดี๋ยวออกไปเจอทางโล่งสุดล่าฟ้าเขียว หรืออาจตื่นเต้นในบางทีที่ได้ยินเสียงขลุกขลักกลางป่า...

2. ท้าทายตัวเอง

"โอ้ย ไอ้พวกเด็กเจนนี้ มันขี้เบื่อ มันมีความอดทนต่ำ!" ฉันว่าหลายๆ คนก็น่าจะเคยโดนว่าอะไรแบบนี้มาก่อน หรืออาจเป็นฝ่ายไปว่าคนอื่นก็เป็นได้ แต่ฉันคิดว่าการที่เราเบื่อบางสิ่ง แล้วรู้จักออกไปทำอะไรบางอย่างแก้เบื่อ มันก็ดีกว่าเบื่อแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี นอนซังกะตายแล้วพร่ำบอกว่าชีวิตตัวเองไม่มีความหมาย การท้าทายตัวเองด้วยการออกไปปีนเขานี่แหละคือสิ่งที่ฉันเลือก! 

การได้ท้าทายความสามารถ สติ พละกำลังของตัวเองอยู่เสมอ ฉันเชื่อว่ามันทำให้เราเด็กอยู่ตลอดเวลา เด็กในที่นี้ไม่ได้หมายถึงนิสัยเหมือนเด็กไม่รู้จักโต แต่หมายถึงพลังงานในตัวเรา ที่มันจะกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอต่างหาก เราจะรู้สึกว่าชีวิตของเรามีค่า ที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ ในอนาคตอีกเรื่อยๆ

3. อยู่กับตัวเอง อยู่กับปัจจุบัน

มีหลายคนบอกว่า... การเดินป่าขึ้นเขา ทำให้ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น อันนี้ฉันเห็นด้วยล้านเปอร์เซ็นท์เลย เพราะยิ่งเดินยิ่งเหนื่อย ยิ่งเหนื่อยยิ่งหอบ ยิ่งหอบยิ่งไม่มีเวลาจะไปคิดถึงเรื่องอื่น นอกจากจะคิดแต่ว่า "จะไม่ไหวแล้ว เมื่อไหร่จะถึงซะทีโว้ยยย!" ในหัวคิดแต่ว่า กระเป๋าหนักจัง ปวดขาจัง หิวน้ำจัง 

ทุกอย่างที่คิดในหัวล้วนแต่เป็นความรู้สึก ณ ขณะนั้นทั้งนั้นเลย สรุปคือ ยิ่งเดินเหนื่อยยิ่งได้อยู่กับตัวเอง ยิ่งได้อยู่กับตัวเองก็คือการยิ่งได้อยู่กับปัจจุบัน หอบแฮ่กซะขนาดนั้นจะเอาเวลาที่ไหนไปคิดเรื่องอื่นอีก...

4. เห็นคุณค่าในสิ่งที่เคยละเลย

ที่มาของคำว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว ไม่ได้เป็นแค่เพลงและไม่ได้หมายถึงอุณหภูมิอีกต่อไป แต่ยิ่งสูงยิ่งหนาวในที่นี้คือ เห็นราคาข้าวของที่ขายบนที่สูงแล้วรู้สึกหนาวสะท้านสะเทือนใจซะเหลือเกิน! ราคาน้ำอัดลมหรือขนม พากันเด้งขึ้นสามสี่เท่าตัวตามความยากลำบากในการขนส่ง นอกจากราคาที่ขูดเลือดกรีดเนื้อแล้ว กว่าจะเดินไปถึงร้านขายของชำสักหนึ่งร้าน มันช่างลำบากยากเข็น ในบางที่ต้องใช้เวลาข้ามเขาเป็นลูกๆ กว่าจะเจอสักที

ระหว่างเดินเขาแห่งหนึ่ง แฟนเคยหันมาคุยด้วยว่า "ฉันว่าคอนโดฯ ที่เราอยู่มันโคตรสบายเลยอ่ะ เตียงก็นิ่ม เซเว่นฯ ก็ใกล้ อยากกินอะไรก็ได้กินเนอะ"

ฉันนี่เห็นด้วยอย่างแรง ตอนนั้นเราก็ไม่เคยมองเห็นว่าสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว มันดีมากขนาดไหน มารู้ก็ตอนเอาตัวเองมาอยู่ในที่ที่โคตรลำบาก ถุงนอนก็ต้องแบกมาเอง น้ำเปล่าก็ต้องกระมิดกระเมี้ยนแบ่งกันจิบทีละนิดเพราะมันแพง ไม่ได้อาบน้ำ เวลาหนาวมากๆ ฮีทเตอร์ก็ไม่มีใช้อีก 

แต่พอกลับมาบ้าน เออ... ทุกอย่างมันสะดวกสบายไปหมด ทั้งๆ ที่สถานที่และสิ่งของทุกอย่างมันก็เหมือนเดิม แต่เป็นความคิดของเราเอง ที่มองมันเปลี่ยนไป...


5. มองโลกแง่บวกมากขึ้น

คนเรามักมีช่วงที่ยากลำบากทุกข์ใจด้วยกันทั้งนั้น แต่อยู่ที่ว่าเราจะดึงตัวเองออกมาจากหลุมดำนั้นได้หรือเปล่า บางครั้งเราก็เผลอเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทั้งที่ก็รู้ว่ามันบั่นทอนตัวเราเอง แต่พอฉันเริ่มออกเดินทางมากขึ้น ฉันได้รู้ว่าภูเขาแต่ละลูกมันไม่เหมือนกัน ทางเดินต่างกัน ความสูงก็คนละระดับ 

บางที่เราเดินครึ่งวันก็ถึงยอดแล้ว ส่วนบางที่ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะถึงยอดเขา บางที่ชื้นแฉะจนต้องคอยระวังตัวทากมากัด ส่วนบางที่แห้งแล้งจนฝุ่นอัดเต็มรูจมูก... บางครั้งเราอยากจะไปให้ถึงไวๆ เหมือนภูเขาลูกก่อนๆ ที่เราเคยทำได้สำเร็จ แต่กับจุดหมายใหม่ที่เราต้องพิชิต มันไม่มีทางลัด ต้องเดินอ้อมเขาทีละลูกๆ ไปเรื่อยๆ จึงจะถึงที่หมายได้สำเร็จปลอดภัย

ยอดเขาหรือจุดหมายนั้นก็คงเหมือนกับเป้าหมายทุกเรื่องของชีวิตเรา ความใฝ่ฝันบางอย่างอาจลงมือทำแล้วเห็นผลง่ายดาย แต่กับบางเรื่องอาจต้องใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา อีกอย่างต้นทุนชีวิตก็สำคัญไม่แพ้กัน ฉันเคยไปเทรคที่ ABC เนปาล แต่หลายคนก็นั่งเฮลิคอปเตอร์ไปลงถึงที่ แสดงว่าบางคนไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่า เจ็บตัวน้อยกว่าเพราะต้นทุนของเขามีมากกว่า 

แต่ต้นทุนของเราอาจไม่ใช่เงินตรา มันคือพละกำลังและความพยายามที่มันสามารถพาเราไปถึงฝั่งฝันได้เหมือนกัน แถมเราอาจจะเห็นคุณค่าของพยายามมากกว่าด้วย

เพราะงั้นเวลาเรารู้สึกท้อแท้กับอะไรบางอย่าง เราก็จะนึกถึงภูเขาที่เราเดินขึ้นอย่างยากลำบาก ว่าอ๋อ... นี่คงเป็นแค่อุปสรรคระหว่างทาง อีกหน่อยก็จะผ่านพ้น แล้วเราก็จะถึงยอดเขา!

ไม่แน่ใจว่าหลงรักการเดินขึ้นเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนเวลาจะวางแผนเที่ยวแต่ละที จะนึกถึงแต่ภูเขาที่อยากจะไป ถึงแม้ในบางทริปจะไม่มีโอกาสปีนเขาแบบจริงๆ จังๆ แต่ก็จะต้องมีอย่างน้อยสักหนึ่งวันของทริปนั้นๆ ที่จะได้เดินเข้าไปในป่าในดง ได้เห็นใบไม้สีเขียว ได้เอาหน้ากระทบสายลม ได้ยืนมองเมฆปุกปุยลอยไปลอยมา...

มีเพื่อนคนนึงเคยบอกกับฉันว่า "กูไม่เคยเข้าใจเลยว่าเวลามึงไปปีนเขา มันสนุกตรงไหนวะ แต่พอกูไปเดินขึ้นเขาบ้าง แม่งโคตรเหนื่อยเลย กูนี่หอบเกือบตายเลยนะ แล้วพอถึงยอด กูนี่ร้อง เฮ้!!! ออกมาดังๆ มันดีใจมากที่ทำสำเร็จอ่ะ กูภูมิใจตัวเองมากเลย ตอนนั้นกูเลยเข้าใจแล้วว่าทำไมมึงชอบไปปีนเขา"


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น